วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิเคราะห์เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์



๑. โครงเรื่อง
แคว้นนั้นยึดมั่นในอปริหานิยธรรม  มีความสามัคคีปรองดองมั่นคง  กษัตริย์ผู้ต้องการแผ่อำนาจจึงต้องใช้อุบายส่งพราหมณ์ปุโรหิตของตนเข้าไปเป็นไส้ศึก  หาวิธีทำลายความสามัคคีของกษัตริย์แคว้นนั้นเสียก่อน  แล้วจึงยกทัพเข้าโจมตี  พราหมณ์ปุโรหิตใช้เวลาถึง ๓ ปีจึงดำเนินกลอุบายทำลายความสามัคคีได้สำเร็จ  กษัตริย์แคว้นนั้นก็แผ่อำนาจเข้าครอบครองแคว้นข้างเคียงเป็นผลสำเร็จ
๒. สาระของเรื่อง 
สามัคคีเภทคำฉันท์ชี้ให้เห็นว่า
๒.๑  ความสามัคคีเป็นธรรมที่จำเป็นในการทำงาน
๒.๒ การร่วมมือร่วมใจแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตต่าง ๆ นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในอันจะป้องกันชาติบ้านเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น
๒.๓ วิจารณญาณเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับมนุษย์  โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโลกของการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจและเข่นฆ่ากันอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
๒.๔ สงครามนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนของคนในประเทศ  มนุษย์ไม่ควรเบียดเบียนกัน
๒.๕ การละทิฐิมานะ ละอคติจะทำให้บุคคลดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุขและตริตรองเรื่องต่าง ๆได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
๓. แก่นเรื่องของสามัคคีเภทคำฉันท์
๓.๑ แก่นเรื่องหลัก
คือโทษของการแตกความสามัคคีซึ่งนำหมู่คณะไปสู่ความหายนะ
๓.๒ แก่นเรื่องรอง  คือ
๓.๒.๑  การใช้สติปัญญาเอาชนะฝ่ายศัตรูโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ การรู้จักเลือกใช้บุคคลให้เหมาะกับงานจะทำให้งานสำเร็จด้วยดี
๓.๒.๒ การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่นย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
 ๔. ฉาก
เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องที่เรารับมาจากอินเดีย  กวีจึงพยายามพรรณนาฉากให้บรรยากาศของเรื่องเป็นประเทศอินเดียในสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู  แต่กวีเป็นคนไทยดังนั้นฉากจึงมีความเป็นไทยแทรกอยู่บ้าง เช่น การพรรณนาชมบ้านเมือง
        อำพนพระมนทิรพระราช                    สุนิวาสวโรฬาร์
อัพภันตรไพจิตรและพา                             หิรภาคก็พึงชม
เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา                                นมหาพิมานรมย์
มารังสฤษฎ์พิศนิยม                                    ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ                           วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน                            จะเยาะยั่วทิฆัมพร
บราลีพิลาศศุภจรูญ                                    นภศูลประภัสสร
หางหงส์ผจงพิจิตรงอน                              ดุจกวักนภาลัย
          นับว่าเป็นบทพรรณนาชมบ้านเมืองที่ไพเราะทั้งเสียง จังหวะและลีลา  นัยว่านายชิต  บุรทัตพรรณนาตอนนี้จากพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท  แต่ไม่ใช่ข้อบกพร่องเสียหายเพราะธรรมดากวีย่อมบรรยายจากสิ่งที่ได้เคยพบเห็น  เรียกกันว่าเป็นอนุโลมกวี 
          การพรรณนากระบวนทัพช้างและทัพม้าตอนพระเจ้าอชาตศัตรูกรีธาทัพนั้น  นับว่าพรรณนาได้อย่างน่าเกรงขาม  เช่น
               ขุนคชขึ้นคชชินชาญ                    คุมพลคชสาร
ละตัวกำแหงแข็งขัน
               เคยเศิกเข้าศึกฮึกครัน                  เสียงเพรียกเรียกมัน
คำรณประดุจเดือดดาล
          การพรรณนาชมธรรมชาติซึ่งนับว่านิยมมากในวรรณคดีไทย  แต่ในสามัคคีเภทคำฉันท์ขาดรสนี้ไป  ตอนวัสสการพราหมณ์ถูกขับก็ดี  หรือตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพก็ดี  น่าจะมีบทพรรณนาชมธรรมชาติบ้าง  แต่ผู้แต่งเพียงพรรณนาสรุปสั้น ๆ ว่า
         แรมทางกลางเถื่อน                       ห่างเพื่อนหาผู้
หนึ่งใดนึกดู                                            เห็นใครไป่มี
หลายวันถั่นล่วง                                      เมืองหลวงธานี
นามเวสาลี                                              ดุ่มเดาเข้าไป
๕. การเลือกสรรความ
         เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ดำเนินเรื่องไปตามลำดับไม่สับสนทำให้ผู้อ่านเข้าใจตลอดทั้งเรื่อง  นายชิต  บุรทัตเลือกสรรความได้อย่างกระชับไม่เยิ่นเย้อทำให้ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว เช่น ตอนที่วัสสการพราหมณ์ถูกลงพระราชอาญาแล้วเนรเทศจากแคว้นมคธมีการบทคร่ำครวญพอสมควรเท่านั้น
นอกจากนี้วรรณคดีประเภทฉันท์นั้นกวีจะต้องเลือกใช้ฉันท์ให้เหมาะสมกับความ  เพราะฉันท์แต่ละชนิดมีลีลาและให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป  ซึ่งนายชิต  บุรทัตก็เลือกใช้ฉันท์ได้อย่างเหมาะสม  เช่น
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์  ลีลาท่วงทำนองเคร่งขรึม  ใช้ในบทประณามพจน์
วสันตดิลกฉันท์  ลีลาจังหวะสละสลวย   ใช้พรรณนาชมบ้านเมือง
อิทิสังฉันท์  ลีลากระแทกกระทั้น  ใช้ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูกริ้ว
จิตรปทาฉันท์  ลีลาคึกคัก เร่งเร้า กระชั้น ใช้แสดงความตกใจเมื่อศึกมาประชิด
อินทรวิเชียรฉันท์ ลีลาสละสลวย   ใช้ตอนวัสสการพราหมณ์ถูกเนรเทศ
มาณวกฉันท์  ลีลาเร่งเร้าผาดโผน ใช้ตอนวัสสการพราหมณ์ยุพระกุมาร
โตฎกฉันท์   ลีลากระชั้น  คึกคัก   ใช้ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพ

คุณค่างานประพันธ์ 
             ๑.ด้านวรรณศิลป์
                   - ใช้ฉันทลักษณ์ได้อย่างงดงามเหมาะสม โดยเลือกฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันตามความ      เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง จึงเกิดความไพเราะสละสลวย
                   - ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เห็นภาพชัดเจน
              ๒. ด้านสังคม
                   - เน้นโทษของการแตกความสามัคคีในหมู่คณะ
                   - ด้านจริยธรรม เน้นถึงหลักธรรม อปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม
                   - เน้นถึงความสำคัญของการใช้สติปัญญาตริตรอง และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้กำลัง

ข้อคิดที่ควรพิจารณาจากเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์
๑. การขาดการพิจารณาไตร่ตรอง นำไปซึ่งความสูญเสีย ดังเช่น เหล่ากษัตริย์ลิจฉวี ขาดการพิจารณาไตร่ตรองคือ ขาดความสามารถในการใช้ปัญญา
ตริตรองพิจารณาสอบสวน และใช้เหตุผลที่ถูกต้อง จึงหลงกลของวัสสการพราหมณ์ ถูกยุแหย่ให้แตกความสามัคคีจนเสียบ้านเสียเมือง
ในรัชกาลที่ ๖ ด้วยเหตุที่คนไทยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการบ้านเมืองแตกต่างกันหลายฝ่าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ กวีจึงนิยมแต่งวรรณคดีปลุกใจขึ้นเป็นจำนวนมาก สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องหนึ่งในจำนวนนั้น
นายชิต บุรทัต แต่งเรื่องนี้ขึ้น โดยมุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของความสามัคคี เพื่อบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง แต่ในปัจจุบันกระแสชาตินิยมลดลง แต่ความสามัคคีก็เป็นหลักธรรมสำคัญในการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ วรรณคดีเรื่องนี้จึงเป็นเนื้อหาที่มีคติสอนใจทันสมัยอยู่เสมอ
๒. แนวคิดของเรื่องสามัคคีเภท สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นนิทานสุภาษิตสอนใจให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคี และแสดงให้เห็นความสำคัญของการใช้สติปัญญาให้เกิดผลโดยไม่ต้องใช้กำลัง
๓. ข้อคิดเห็นระหว่างวัสสการพราหมณ์กับกษัตริย์ลิจฉวี บางคนอาจมีทรรศนะว่า วัสสการพราหมณ์ขาดคุณธรรม ใช้อุบายล่อลวงผู้อื่นเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน แต่มองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่า วัสสการพราหมณ์น่ายกย่องตรงที่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรูและต่อบ้านเมือง ยอมถูกลงโทษเฆี่ยนตี ยอมลำบาก จากบ้านเมืองตนไปเสี่ยงภัยในหมู่ศัตรู ด้องใช้ความอดทน สติปัญญาความสามารถอย่างสูงจึงจะสัมฤทธิผลตามแผนการที่วางไว้
ส่วนกษัตริย์ลิจฉวีเคยใช้หลักอปริหานิยธรรมร่วมกันปกครองแคว้นวัชชีให้มั่นคงเจริญมาช้านาน แต่เมื่อถูกวัสสการพรามหณ์ใช้อุบายยุแหย่ให้แตกความสามัคคี
ก็พ่ายแพ้ศัตรูได้โดยง่ายดาย
๔. เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ให้อะไรกับผู้อ่าน ข้อคิดสำคัญที่ได้จากเรื่อง คือ โทษของการแตกความสามัคคี ส่วนแนวคิดอื่น ๆ มีดังนี้
๔.๑ การใช้ปัญญาเอาชนะศัตรูโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
๔.๒ การเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานจะทำให้งานสำเร็จได้ด้วยดี
๔.๓ การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองก่อนทำการใด ๆ เป็นสิ่งที่ดี
๔.๔ การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม
๕. ศิลปะการประพันธ์ในสามัคคีเภทคำฉันท์ นายชิต บุรทัต สามารถสร้างตัวละคร เช่น วัสสการพราหมณ์ ให้มีบุคลิกเด่นชัด และสามารถดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม นอกจากนี้ ยังมีความเชี่ยวชาญในการแต่งคำประพันธ์ ดังนี้
๕.๑ เลือกสรรฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแต่ละตอน เช่น ใช้วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ซึ่งมีลีลาไพเราะ ชมความงามของเมืองราชคฤห์ ใช้อีทิสังฉันท์ ๒๐ ซึ่งมีลีลากระแทกกระทั้นแสดงอารมณ์โกรธ
๕.๒ ดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้ไพเราะยิ่งขึ้น เช่น เพิ่มสัมผัสบังคับคำสุดท้ายของวรรคแรกกับคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ในฉันท์ ๑๑ ฉันท์ ๑๒ และฉันท์ ๑๔ เป็นที่นิยมแต่งตามมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ นายชิต บุรทัต ยังเพิ่มลักษณะบังคับ ครุ ลหุ สลับกันลงในกาพย์สุรางคนาง ๒๘ ให้มีจังหวะคล้ายฉันท์ด้วย
๕.๓ เล่นสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษรอย่างไพเราะ เช่น คะเนกล คะนึงการ ระวังเหือด ระแวงหาย
๕.๔ ใช้คำง่าย ๆ ในการเล่าเรื่อง ทำให้ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว และผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ทันที
๕.๕ ใช้คำง่าย ๆ ในการบรรยายและพรรณนาดัวละครได้อย่างกระชับ และสร้างภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจน
อปริหานิยธรรม ๗ ประการ
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติเอาไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ถือปฏิบัติตามวัชชีธรรมตามที่วางไว้เดิม
๔. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี ก็ควรเคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
๕. บรรดากุลสตรีและกุลกุมารีทั้งหลายให้อยู่ดี โดยมิถูกข่มเหงหรือฉุดคร่าขืนใจ
๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ของวัชชีทั้งหลายทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง และป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งที่ยังมิได้มาพึงมาสู่แว่นแคว้นและที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก



อุทาหรณ์สอนใจให้คิด



ฉันทลักษณ์
               อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑


อินทรวิเชียรฉันท์” เป็นชื่อที่เรียกตามแบบไทย แต่ในคัมภีร์วุตโตทัย ท่านเรียกว่า “อินทรวิเชียรคาถา” เป็นติฏฐุภาฉันท์ ฯ “ติฏฐุภา” แปลว่า “ฉันท์ที่เบียดเบียนความไม่ไพเราะในฐานะ ๓ คือ ต้นบาท, กลางบาท และปลายบาท”  “อินทรวิเชียร” แปลว่า “คาถาที่เหมือนคทาเพชรของพระอินทร์ เพราะมีเสียงหนักในหนต้นตลอดหนปลาย” เป็นคาถา ๔ บาท ๆ ละ ๑๑ คำ มีสูตรว่า “อินฺทาทิกา ตา วชิรา ชคา โค” แปลความว่า “คาถาที่มี ต คณะ ต คณะ ช คณะ และครุลอย ๒ ชื่อว่า “อินทรวิเชียร
              ในการบัญญัติฉันท์ไทยนั้น ท่านนำสูตรดังกล่าวมาเป็นสูตร โดยนำมาเพียง ๒ บาท แล้วปรับปรุงให้เป็น ๔ วรรค เพราะมีบาทละ ๑๑ คำ จึงเรียกว่า “ฉันท์ ๑๑” แล้วเพิ่มสัมผัสเข้า คือ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒, คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓, และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสไปยังคำที่พร้อมจะรับในบทที่จะแต่งต่อไป

บทประพันธ์

                                              อันภูบดีรา                             ชอชาตศัตรู
                               ได้ลิจฉวีภู                                             วประเทศสะดวกดี
                                              แลสรรพบรรดา                     วรราชวัชชี
                               ถึงซึ่งพิบัติบี                                         ฑอนัตถ์พินาศหนา

ถอดความได้ว่า

พระเจ้าอชาตศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างสะดวก  และกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายก็ถึงซึ่งความพินาศล่มจม

โวหารภาพพจน์ :       พรรณนาโวหาร
******************************

                                               เหี้ยมนั้นเพราะผันแผก          คณะแตกและต่างมา
                                ถือทิฐิมานสา                                        หสโทษพิโรธจอง
                                              แยกพรรคสมรรคภิน              ทนสิ้นบปรองดอง
                                ขาดญาณพิจารณ์ตรอง                          ตริมลักประจักษ์เจือ

ถอดความได้ว่า

เหตุเพราะความแตกแยกกันต่างก็มีความยึดมั่นในความคิดของตน  ผูกโกรธซึ่งกันและกัน  ต่างแยกพรรค  แตกสามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง

โวหารภาพพจน์ :       พรรณนาโวหาร
******************************

                                              เชื่ออรรถยุบลเอา                   รสเล่าก็ง่ายเหลือ
                                เหตุหากธมากเมือ                                คติโมหเป็นมูล
                                            จึ่งดาลประการหา                    ยนภาวอาดูร
                                เสียแดนไผทสูญ                                  ยศศักดิเสื่อมนาม
ถอดความได้ว่า

เชื่อถ้อยความของบรรดาพระโอรสอย่างง่ายดาย  เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงมากไปด้วยความหลง  จึงทำให้ถึงซึ่งความฉิบหาย  มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศ และชื่อเสียงที่เคยมีอยู่

โวหารภาพพจน์ :       พรรณนาโวหาร
******************************

                                             ควรชมนิยมจัด                         คุรุวัสสการพราหมณ์
                                 เป็นเอกอุบายงาม                                  กลงำกระทำมา            
                                             พุทธาทิบัณฑิต                          พิเคราะห์คิดพินิจปรา
                                รภสรรเสริญสา                                      ธุสมัครภาพผล

ถอดความได้ว่า

ส่วนวัสสการพราหมณ์นั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่งเพราะเป็นเลิศในการกระทำกลอุบายผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น  ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบแล้วในเรื่องผลแห่งความพร้อมเพรียงกัน

โวหารภาพพจน์ :       พรรณนาโวหาร , เทศนาโวหาร
******************************

                                               ว่าอาจจะอวยผา                         สุกภาวมาดล
                                   ดีสู่ณหมู่ตน                                           บนิราศนิรันดร
                                               หมู่ใดผิสามัค                             คยพรรคสโมสร
                                  ไป่ปราศนิราศรอน                                คุณไร้ไฉนดล

ถอดความได้ว่า

ความสามัคคีอาจอำนวยให้ถึงซึ่งสภาพแห่งความผาสุก ณ หมู่ของตนไม่เสื่อมคลายตลอดไป หากหมู่ใดมีความสามัคคีร่วมชุมนุมกัน ไม่ห่างเหินกัน สิ่งที่ไร้ประโยชน์จะมาสู่ได้อย่างไร

โวหารภาพพจน์ :       เทศนาโวหาร, สาธกโวหาร
******************************

                                        พร้อมเพรียงประเสริฐครัน             เพราะฉะนั้นแหละบุคคล
                            ผู้หวังเจริญตน                                            ธุระเกี่ยวกะหมู่เขา
                                         พึงหมายสมัครเป็น                        มุขเป็นประธานเอา
                             ธูรทั่วณตัวเรา                                            บมิเห็นณฝ่ายเดียว

ถอดความได้ว่า

ความพร้อมเพรียงนั้นประเสริฐยิ่งนัก  เพราะฉะนั้นบุคคลใดหวังที่จะได้รับความเจริญแห่งตนและมีกิจธุระอันเป็นส่วนรวม  ก็พึงตั้งใจเป็นหัวหน้าเอาเป็นธุระด้วยตัวของเราเองโดยมิเห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว

โวหารภาพพจน์ :       สาธกโวหาร
******************************

                                    ควรยกประโยชน์ยื่น                 นรอื่นก็แลเหลียว
                        ดูบ้างและกลมเกลียว                            มิตรภาพผดุงครอง
                                   ยั้งทิฐิมานหย่อน                        ทมผ่อนผจงจอง
                        อารีมิมีหมอง                                         มนเมื่อจะทำใด

ถอดความได้ว่า

ควรยกประโยชน์ให้บุคคลอื่นบ้าง นึกถึงผู้อื่นบ้าง ต้องกลมเกลียว มีความเป็นมิตรกันไว้  ต้องลดทิฐิมานะ  รู้จักข่มใจ  จะทำสิ่งใดก็เอื้อเฟื้อกันไม่มีความบาดหมางใจ

โวหารภาพพจน์ :       สาธกโวหาร
******************************

                                           ลาภผลสกลบรร                         ลุก็ปันก็แบ่งไป   
                                ตามน้อยและมากใจ                              สุจริตนิยมธรรม์
                                           พึงมรรยาทยึด                            สุประพฤติสงวนพรรค์
                                รื้อริษยาอัน                                           อุปเฉทไมตรี

ถอดความได้ว่า

ผลประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป  มากบ้างน้อยบ้างอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นในมารยาทและความประพฤติที่ดีงาม  รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยากันอันจะตัดรอนไมตรี

โวหารภาพพจน์ :       สาธกโวหาร
******************************
         
                                  ดั่งนั้นณหมู่ใด                            ผิบไร้สมัครมี
                        พร้อมเพรียงนิพัทธ์นี                           รวิวาทระแวงกัน
                                 หวังเทอญมิต้องสง                     สยคงประสบพลัน
                       ซึ่งสุขเกษมสันต์                                   หิตะกอบทวิการ

ถอดความได้ว่า

ดังนั้นถ้าหมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ ไม่มีการวิวาท และระแวงกัน ก็หวังได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า  คงจะพบซึ่งความสุข ความสงบ และประกอบด้วยประโยชน์มากมาย

โวหารภาพพจน์ :       อุปมาโวหาร , สาธกโวหาร
******************************

                                         ใครเล่าจะสามารถ                      มนอาจระรานหาญ
                               หักล้างบแหลกลาญ                             ก็เพราะพร้อมเพราะเพรียงกัน
                                         ป่วยกล่าวอะไรฝูง                      นรสูงประเสริฐครัน
                               ฤๅสรรพสัตว์อัน                                  เฉพาะมีชีวีครอง

ถอดความได้ว่า

ใครเล่าจะมีใจกล้าคิดทำสงครามด้วย  หวังจะทำลายล้างก็ไม่ได้  ทั้งนี้เพราะความพร้อมเพรียงกันนั่นเอง  กล่าวไปไยกับมนุษย์ผู้ประเสริฐหรือสรรพสัตว์ที่มีชีวิต

โวหารภาพพจน์ :       สาธกโวหาร
******************************

                                                 แม้มากผิกิ่งไม้                           ผิวใครจะใคร่ลอ
                                    มัดกำกระนั้นปอง                                  พลหักก็เต็มทน
                                                 เหล่าไหนผิไมตรี                      สละลี้ณหมู่ตน
                                   กิจใดจะขวายขวน                                  บมิพร้อมมิเพรียงกัน

ถอดความได้ว่า

แม้แต่กิ่งไม้หากใครจะใคร่ลองเอามามัดเป็นกำ  ตั้งใจใช้กำลังหักก็ยากเต็มทน  หากหมู่ใดไม่มีความสามัคคีในหมู่คณะของตน  และกิจการอันใดที่จะต้องขวนขวายทำก็มิพร้อมเพรียงกัน

โวหารภาพพจน์ :       สาธกโวหาร
******************************

                                              อย่าปรารถนาหวัง                     สุขทั้งเจริญอัน    
                                  มวลมาอุบัติบรร                                    ลุไฉนบได้มี
                                             ปวงทุกข์พิบัติสรร                     พภยันตรายกลี
                                แม้ปราศนิยมปรี                                    ติประสงค์ก็คงสม

ถอดความได้ว่า

ก็อย่าได้หวังเลยความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  ความทุกข์พิบัติอันตรายและความชั่วร้ายทั้งปวง  ถึงแม้จะไม่ต้องการก็จะต้องได้รับเป็นแน่แท้

โวหารภาพพจน์ :       สาธกโวหาร , เทศนาโวหาร
******************************

                                                    ควรชนประชุมเช่น                      คณะเป็นสมาคม
                                          สามัคคิปรารม                                       ภนิพัทธรำพึง
                                                    ไป่มีก็ให้มี                                   ผิวมีก็คำนึง
                                          เนื่องเพื่อภิยโยจึง                                  จะประสบสุขาลัย

ถอดความได้ว่า

ผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะหรือสมาคม  ควรคำนึงถึงความสามัคคีอยู่เป็นนิจ  ถ้ายังไม่มีก็ควรจะมีขึ้น  ถ้ามีอยู่แล้วก็ควรให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปจึงจะถึงซึ่งความสุขความสบาย

โวหารภาพพจน์ :       เทศนาโวหาร
******************************