๑. โครงเรื่อง
แคว้นนั้นยึดมั่นในอปริหานิยธรรม มีความสามัคคีปรองดองมั่นคง กษัตริย์ผู้ต้องการแผ่อำนาจจึงต้องใช้อุบายส่งพราหมณ์ปุโรหิตของตนเข้าไปเป็นไส้ศึก
หาวิธีทำลายความสามัคคีของกษัตริย์แคว้นนั้นเสียก่อน แล้วจึงยกทัพเข้าโจมตี พราหมณ์ปุโรหิตใช้เวลาถึง
๓ ปีจึงดำเนินกลอุบายทำลายความสามัคคีได้สำเร็จ กษัตริย์แคว้นนั้นก็แผ่อำนาจเข้าครอบครองแคว้นข้างเคียงเป็นผลสำเร็จ
๒. สาระของเรื่อง
สามัคคีเภทคำฉันท์ชี้ให้เห็นว่า
๒.๑ ความสามัคคีเป็นธรรมที่จำเป็นในการทำงาน
๒.๒ การร่วมมือร่วมใจแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตต่าง ๆ
นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในอันจะป้องกันชาติบ้านเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น
๒.๓ วิจารณญาณเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโลกของการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจและเข่นฆ่ากันอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
๒.๔ สงครามนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนของคนในประเทศ มนุษย์ไม่ควรเบียดเบียนกัน
๒.๕ การละทิฐิมานะ
ละอคติจะทำให้บุคคลดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุขและตริตรองเรื่องต่าง
ๆได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
๓. แก่นเรื่องของสามัคคีเภทคำฉันท์
๓.๑ แก่นเรื่องหลัก
คือโทษของการแตกความสามัคคีซึ่งนำหมู่คณะไปสู่ความหายนะ
๓.๒ แก่นเรื่องรอง คือ
๓.๒.๑ การใช้สติปัญญาเอาชนะฝ่ายศัตรูโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
การรู้จักเลือกใช้บุคคลให้เหมาะกับงานจะทำให้งานสำเร็จด้วยดี
๓.๒.๒
การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่นย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
๔. ฉาก
เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องที่เรารับมาจากอินเดีย กวีจึงพยายามพรรณนาฉากให้บรรยากาศของเรื่องเป็นประเทศอินเดียในสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู
แต่กวีเป็นคนไทยดังนั้นฉากจึงมีความเป็นไทยแทรกอยู่บ้าง เช่น
การพรรณนาชมบ้านเมือง
อำพนพระมนทิรพระราช สุนิวาสวโรฬาร์
อัพภันตรไพจิตรและพา
หิรภาคก็พึงชม
เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา
นมหาพิมานรมย์
มารังสฤษฎ์พิศนิยม
ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ
วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร
บราลีพิลาศศุภจรูญ นภศูลประภัสสร
หางหงส์ผจงพิจิตรงอน
ดุจกวักนภาลัย
นับว่าเป็นบทพรรณนาชมบ้านเมืองที่ไพเราะทั้งเสียง จังหวะและลีลา
นัยว่านายชิต บุรทัตพรรณนาตอนนี้จากพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
แต่ไม่ใช่ข้อบกพร่องเสียหายเพราะธรรมดากวีย่อมบรรยายจากสิ่งที่ได้เคยพบเห็น
เรียกกันว่าเป็นอนุโลมกวี
การพรรณนากระบวนทัพช้างและทัพม้าตอนพระเจ้าอชาตศัตรูกรีธาทัพนั้น
นับว่าพรรณนาได้อย่างน่าเกรงขาม เช่น
ขุนคชขึ้นคชชินชาญ คุมพลคชสาร
ละตัวกำแหงแข็งขัน
เคยเศิกเข้าศึกฮึกครัน เสียงเพรียกเรียกมัน
คำรณประดุจเดือดดาล
การพรรณนาชมธรรมชาติซึ่งนับว่านิยมมากในวรรณคดีไทย แต่ในสามัคคีเภทคำฉันท์ขาดรสนี้ไป ตอนวัสสการพราหมณ์ถูกขับก็ดี
หรือตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพก็ดี น่าจะมีบทพรรณนาชมธรรมชาติบ้าง
แต่ผู้แต่งเพียงพรรณนาสรุปสั้น ๆ ว่า
แรมทางกลางเถื่อน ห่างเพื่อนหาผู้
หนึ่งใดนึกดู
เห็นใครไป่มี
หลายวันถั่นล่วง
เมืองหลวงธานี
นามเวสาลี ดุ่มเดาเข้าไป
๕. การเลือกสรรความ
เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ดำเนินเรื่องไปตามลำดับไม่สับสนทำให้ผู้อ่านเข้าใจตลอดทั้งเรื่อง
นายชิต บุรทัตเลือกสรรความได้อย่างกระชับไม่เยิ่นเย้อทำให้ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว
เช่น ตอนที่วัสสการพราหมณ์ถูกลงพระราชอาญาแล้วเนรเทศจากแคว้นมคธมีการบทคร่ำครวญพอสมควรเท่านั้น
นอกจากนี้วรรณคดีประเภทฉันท์นั้นกวีจะต้องเลือกใช้ฉันท์ให้เหมาะสมกับความ เพราะฉันท์แต่ละชนิดมีลีลาและให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
ซึ่งนายชิต บุรทัตก็เลือกใช้ฉันท์ได้อย่างเหมาะสม
เช่น
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ลีลาท่วงทำนองเคร่งขรึม ใช้ในบทประณามพจน์
วสันตดิลกฉันท์ ลีลาจังหวะสละสลวย ใช้พรรณนาชมบ้านเมือง
อิทิสังฉันท์ ลีลากระแทกกระทั้น ใช้ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูกริ้ว
จิตรปทาฉันท์ ลีลาคึกคัก
เร่งเร้า กระชั้น ใช้แสดงความตกใจเมื่อศึกมาประชิด
อินทรวิเชียรฉันท์ ลีลาสละสลวย ใช้ตอนวัสสการพราหมณ์ถูกเนรเทศ
มาณวกฉันท์ ลีลาเร่งเร้าผาดโผน ใช้ตอนวัสสการพราหมณ์ยุพระกุมาร
โตฎกฉันท์ ลีลากระชั้น
คึกคัก ใช้ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพ
คุณค่างานประพันธ์
๑.ด้านวรรณศิลป์
- ใช้ฉันทลักษณ์ได้อย่างงดงามเหมาะสม โดยเลือกฉันท์ชนิดต่าง ๆ
มาใช้สลับกันตามความ เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง จึงเกิดความไพเราะสละสลวย
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เห็นภาพชัดเจน
๒. ด้านสังคม
- เน้นโทษของการแตกความสามัคคีในหมู่คณะ
- ด้านจริยธรรม เน้นถึงหลักธรรม อปริหานิยธรรม
ซึ่งเป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม
- เน้นถึงความสำคัญของการใช้สติปัญญาตริตรอง และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
โดยไม่ต้องใช้กำลัง
๑. การขาดการพิจารณาไตร่ตรอง นำไปซึ่งความสูญเสีย ดังเช่น เหล่ากษัตริย์ลิจฉวี “ขาดการพิจารณาไตร่ตรอง” คือ ขาดความสามารถในการใช้ปัญญา
ตริตรองพิจารณาสอบสวน และใช้เหตุผลที่ถูกต้อง จึงหลงกลของวัสสการพราหมณ์ ถูกยุแหย่ให้แตกความสามัคคีจนเสียบ้านเสียเมือง
ในรัชกาลที่ ๖ ด้วยเหตุที่คนไทยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการบ้านเมืองแตกต่างกันหลายฝ่าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ กวีจึงนิยมแต่งวรรณคดีปลุกใจขึ้นเป็นจำนวนมาก สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องหนึ่งในจำนวนนั้น
นายชิต บุรทัต แต่งเรื่องนี้ขึ้น โดยมุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของความสามัคคี เพื่อบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง แต่ในปัจจุบันกระแสชาตินิยมลดลง แต่ความสามัคคีก็เป็นหลักธรรมสำคัญในการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ วรรณคดีเรื่องนี้จึงเป็นเนื้อหาที่มีคติสอนใจทันสมัยอยู่เสมอ
๒. แนวคิดของเรื่องสามัคคีเภท สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นนิทานสุภาษิตสอนใจให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคี และแสดงให้เห็นความสำคัญของการใช้สติปัญญาให้เกิดผลโดยไม่ต้องใช้กำลัง
๓. ข้อคิดเห็นระหว่างวัสสการพราหมณ์กับกษัตริย์ลิจฉวี บางคนอาจมีทรรศนะว่า วัสสการพราหมณ์ขาดคุณธรรม ใช้อุบายล่อลวงผู้อื่นเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน แต่มองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่า วัสสการพราหมณ์น่ายกย่องตรงที่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรูและต่อบ้านเมือง ยอมถูกลงโทษเฆี่ยนตี ยอมลำบาก จากบ้านเมืองตนไปเสี่ยงภัยในหมู่ศัตรู ด้องใช้ความอดทน สติปัญญาความสามารถอย่างสูงจึงจะสัมฤทธิผลตามแผนการที่วางไว้
ส่วนกษัตริย์ลิจฉวีเคยใช้หลักอปริหานิยธรรมร่วมกันปกครองแคว้นวัชชีให้มั่นคงเจริญมาช้านาน แต่เมื่อถูกวัสสการพรามหณ์ใช้อุบายยุแหย่ให้แตกความสามัคคี
ก็พ่ายแพ้ศัตรูได้โดยง่ายดาย
๔. เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ให้อะไรกับผู้อ่าน ข้อคิดสำคัญที่ได้จากเรื่อง คือ โทษของการแตกความสามัคคี ส่วนแนวคิดอื่น ๆ มีดังนี้
๔.๑ การใช้ปัญญาเอาชนะศัตรูโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
๔.๒ การเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานจะทำให้งานสำเร็จได้ด้วยดี
๔.๓ การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองก่อนทำการใด ๆ เป็นสิ่งที่ดี
๔.๔ การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม
๕. ศิลปะการประพันธ์ในสามัคคีเภทคำฉันท์ นายชิต บุรทัต สามารถสร้างตัวละคร เช่น วัสสการพราหมณ์ ให้มีบุคลิกเด่นชัด และสามารถดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม นอกจากนี้ ยังมีความเชี่ยวชาญในการแต่งคำประพันธ์ ดังนี้
๕.๑ เลือกสรรฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแต่ละตอน เช่น ใช้วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ซึ่งมีลีลาไพเราะ ชมความงามของเมืองราชคฤห์ ใช้อีทิสังฉันท์ ๒๐ ซึ่งมีลีลากระแทกกระทั้นแสดงอารมณ์โกรธ
๕.๒ ดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้ไพเราะยิ่งขึ้น เช่น เพิ่มสัมผัสบังคับคำสุดท้ายของวรรคแรกกับคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ในฉันท์ ๑๑ ฉันท์ ๑๒ และฉันท์ ๑๔ เป็นที่นิยมแต่งตามมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ นายชิต บุรทัต ยังเพิ่มลักษณะบังคับ ครุ ลหุ สลับกันลงในกาพย์สุรางคนาง ๒๘ ให้มีจังหวะคล้ายฉันท์ด้วย
๕.๓ เล่นสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษรอย่างไพเราะ เช่น คะเนกล – คะนึงการ ระวังเหือด – ระแวงหาย
๕.๔ ใช้คำง่าย ๆ ในการเล่าเรื่อง ทำให้ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว และผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ทันที
๕.๕ ใช้คำง่าย ๆ ในการบรรยายและพรรณนาดัวละครได้อย่างกระชับ และสร้างภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจน
อปริหานิยธรรม ๗ ประการ
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติเอาไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ถือปฏิบัติตามวัชชีธรรมตามที่วางไว้เดิม
๔. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี ก็ควรเคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
๕. บรรดากุลสตรีและกุลกุมารีทั้งหลายให้อยู่ดี โดยมิถูกข่มเหงหรือฉุดคร่าขืนใจ
๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ของวัชชีทั้งหลายทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง และป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งที่ยังมิได้มาพึงมาสู่แว่นแคว้นและที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก