ฉันทลักษณ์
กาพย์ฉบัง
๑๖
ลักษณะของกาพย์ฉบัง๑๖
กาพย์ฉบังบทหนึ่งมีเพียง ๑ บาท แต่มี ๓ วรรค คือ วรรคต้น วรรคกลาง
และวรรคท้าย
พยางค์ พยางค์หรือคำในวรรคต้นมี ๖ คำ วรรคกลางมี ๔ คำ วรรคท้ายมี ๖ คำ รวมทั้งบทมี ๑๖ คำ จึงเขียนเลข ๑๖ ไว้หลังกาพย์ฉบัง
สัมผัส มีข้อสังเกตเกี่ยวกับสัมผัสของกาพย์ฉบังดังนี้
ก. สัมผัสนอก (บังคับ) โปรดสังเกตเส้นโยงสัมผัสประกอบ
๑) ในบทที่ ๑ คำสุดท้ายของวรรคต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคกลาง (บูชา-มารดา)
๒) คำสุดท้ายของวรรคท้ายในบทที่ ๑สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคต้นในบทที่ ๒ (ตน-กมล)
และในบทต่อ ๆ ไปก็มีสัมผัสทำนองเดียวกับข้อ ๑ และ ข้อ ๒
ข. สัมผัสใน (ไม่บังคับ)
๓) สัมผัสในชนิดสัมผัสสระ มีในบทที่ ๑วรรคท้าย คือ กำเนิด-เกิด ในบทที่ ๒ วรรคท้ายคือ มหา-สาครินทร์ ในบทที่ ๔ วรรคท้าย คือวิชา-อาทร ภาษา-จริยา-สง่าศรี
๔) สัมผัสในชนิดสัมผัสอักษร มีดังนี้
บทที่ ๑ ข้า-ขอ บิดร-มารดา ก่อ-กำเนิด-เกิด
บทที่ ๒ กตัญญู-ยึด มั่น-กมล
บทที่ ๓ ข้า-ขอ-คุณ สั่ง-สอน
บทที่ ๔ ถ่าย-ทอด-อาทร ภาษา-สง่าศรี
พยางค์ พยางค์หรือคำในวรรคต้นมี ๖ คำ วรรคกลางมี ๔ คำ วรรคท้ายมี ๖ คำ รวมทั้งบทมี ๑๖ คำ จึงเขียนเลข ๑๖ ไว้หลังกาพย์ฉบัง
สัมผัส มีข้อสังเกตเกี่ยวกับสัมผัสของกาพย์ฉบังดังนี้
ก. สัมผัสนอก (บังคับ) โปรดสังเกตเส้นโยงสัมผัสประกอบ
๑) ในบทที่ ๑ คำสุดท้ายของวรรคต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคกลาง (บูชา-มารดา)
๒) คำสุดท้ายของวรรคท้ายในบทที่ ๑สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคต้นในบทที่ ๒ (ตน-กมล)
และในบทต่อ ๆ ไปก็มีสัมผัสทำนองเดียวกับข้อ ๑ และ ข้อ ๒
ข. สัมผัสใน (ไม่บังคับ)
๓) สัมผัสในชนิดสัมผัสสระ มีในบทที่ ๑วรรคท้าย คือ กำเนิด-เกิด ในบทที่ ๒ วรรคท้ายคือ มหา-สาครินทร์ ในบทที่ ๔ วรรคท้าย คือวิชา-อาทร ภาษา-จริยา-สง่าศรี
๔) สัมผัสในชนิดสัมผัสอักษร มีดังนี้
บทที่ ๑ ข้า-ขอ บิดร-มารดา ก่อ-กำเนิด-เกิด
บทที่ ๒ กตัญญู-ยึด มั่น-กมล
บทที่ ๓ ข้า-ขอ-คุณ สั่ง-สอน
บทที่ ๔ ถ่าย-ทอด-อาทร ภาษา-สง่าศรี
บทประพันธ์
อันอัครปุโรหิตาจารย์ พราหมณ์นามวัสสการ
ฉลาดฉลียวเชี่ยวชิน
กลเวทโกวิทจิตจินต์ สำแดงแจ้งศิล
ปศาสตร์ก็จบสบสรรพ์
ถอดความได้ว่า
พราหมณ์ผู้สั่งสอนและปรึกษาในทางขนบธรรมเนียมประเพณีมีนามว่าวัสสการพราหมณ์ มีความเฉลียวฉลาดและเชี่ยวชาญ เป็นผู้ชำนาญทางอุบายความรู้ในพระเวท มีความคิดหลักแหลม ทั้งศิลปศาสตร์ทุกแขนงก็ร่ำเรียนจนจบสิ้น
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร,พรรณนาโวหาร
******************************
เป็นมหาอำมาตย์ราชวัล
ลภใครไป่ทัน
ไป่เทียมไป่เทียบเปรียบปาน
สมัยหนึ่งจึ่งพระภูมิบาล ทรงจินตนาการ
จะแผ่อำนาจอาณา
ถอดความได้ว่า
เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินโดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ครั้งหนึ่งพระมหากษัตริย์ทรงคิดจะขยายอาณาเขต
โวหารภาพพจน์ : อุปมาโวหาร , บรรยายโวหาร
******************************
ให้ราบปราบเพื่อเกื้อปรา กฎไผทไพศา
ลรัฐจังหวัดวัชชี
หวังพระหฤทัยใคร่กรี
ธาทัพโยธี
กระทำประยุทธ์ชิงชัย
ถอดความได้ว่า
ให้กว้างใหญ่ไพศาลไปจนถึงแคว้นวัชชีตั้งพระราชหฤทัยจะยกกองทัพไปทำสงคราม
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร
******************************
ครั้นทรงดำริตริไป
กลับยั้งหยั่งใน
มนัสมิแน่แปรเกรง
หากหักจักได้ชัยเชวง ฤาแพ้แลเลง
พะว้าพะวังลังเล
ถอดความได้ว่า
แต่เมื่อคิดทบทวนแล้วกลับหยุดยั้งความคิด ด้วยเกรงความไม่แน่นอน หากได้ชัยชนะก็เป็นที่เลื่องลือ แต่ถ้าพ่ายแพ้ก็จะถูกดูแคลนทำให้พระองค์ทรงลังเลพระราชหฤทัย
โวหารภาพพจน์ : พรรณนาโวหาร
******************************
ไป่อาจสามารถทุ่มเท ทำศึกรวนเร
พระราชหฤทัยใช่เบา
ด้วยเหตุพระองค์ทรงเสา
วนศัพท์สำเนา
ระเบ็งระบือลือชา
ถอดความได้ว่า
เนื่องจากไม่สามารถทุ่มเททำสงครามโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เพราะพระองค์ทรงทราบข่าวที่เล่าลือกันทั่วไป
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร
******************************
ว่ากษัตริย์วัชชีบรรดา บดีสีมา
เกษตรประเทศทุกองค์
อปริหานิยธรรมธำรง ทั้งนั้นมั่นคง
มิโกรธมิก้าวร้าวฉาน
ถอดความได้ว่า
ว่าบรรดากษัตริย์แคว้นวัชชีทั้งหลายนั้นตั้งมั่นในธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ไม่โกรธและไม่แตกร้าวกัน
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร
******************************
เพื่อธรรมดำเนินเจริญการณ์
ใช่เหตุแห่งหานิย์
เจ็ดข้อจะคัดจัดไข
หนึ่ง. เมื่อมีราชกิจใด ปรึกษากันไป
บ่วายบ่หน่ายชุมนุม
ถอดความได้ว่า
เป็นธรรมที่ทำให้เจริญก้าวหน้าไม่ใช่เหตุแห่งความเสื่อม มี ๗ ประการดังต่อไปนี้
ข้อหนึ่งเมื่อมีราชกิจใดก็ปรึกษากันไม่งดเว้นและเบื่อหน่ายที่จะเข้าร่วมประชุม
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร , เทศนาโวหาร
******************************
สอง. ย่อมพร้อมเลิกพร้อมประชุม พร้อมพรักพรรคคุม
ประกอบ ณ กิจควรทำ
สาม. นั้นยึดมั่นในสัม มาจารีตจำ
ประพฤติมิตัดดัดแปลง
ถอดความได้ว่า
ข้อสองเข้าประชุมและเลิกประชุมพร้อมกัน และพร้อมเพรียงกันประกอบกิจอันสมควร
ข้อสามยึดมั่นในความประพฤติอันถูกต้องตามแบบแผน
โวหารภาพพจน์ : เทศนาโวหาร
******************************
สี่. ใครเป็นใหญ่ได้แจง
โอวาทศาสน์แสดง
ก็ยอมและน้อมบูชา
ห้า. นั้นอันบุตรภริยา แห่งใครไป่ปรา
รภประทุษข่มเหง
ถอดความได้ว่า
ข้อสี่เชื่อฟังและปฏิบัติตามโอวาทผู้ใหญ่
ข้อห้าไม่ล่วงเกินบุตรภรรยาผู้อื่น
โวหารภาพพจน์ : เทศนาโวหาร
******************************
หก ที่เจดีย์คนเกรง
มิย่ำยำเยง
ก็เซ่นก็สรวงบวงพลี
เจ็ด พระอรหันต์อันมี ในรัฐวัชชี
ก็คุ้มก็ครองป้องกัน
ถอดความได้ว่า
ข้อหกเคารพในสถานที่ที่ผู้อื่นยกย่องนับถือ
ข้อเจ็ดให้ความอุปการะคุ้มครองพระอรหันต์ที่อยู่ในแคว้นวัชชี
โวหารภาพพจน์ : เทศนาโวหาร
******************************
สัปดพิธนิติคตินิรันดร์ สามัคคีธรรม์
ณราชย์นริศลิจฉวี
อชาตศัตรูภูมี
สดับสรรพคดี
ดั่งนั้นก็ครั่นคร้ามขาม
ถอดความได้ว่า
แบบแผนทั้ง ๗ ประการนี้เป็นคติตลอดกาล เป็นธรรมก่อให้เกิดความสามัคคีของกษัตริย์
ลิจฉวี พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงทราบดังนั้นก็บังเกิดความเกรงขาม
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร
******************************
ศึกใหญ่ใคร่จะพยายาม รบเร้าเอาตาม
กำลังก็หนักนักหนา
จำจักหักด้วยปัญญา รอก่อนผ่อนหา
อุบายทำลายมูลความ
ถอดความได้ว่า
ว่าศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่หากจะเอาชนะด้วยกำลังคงจะเป็นการยาก จะต้องเอาชนะด้วยปัญญา รั้งรอไว้ก่อนเพื่อหากลอุบายทำลายความสามัคคีที่มีมาแต่ก่อน
โวหารภาพพจน์ : บรรยายโวหาร
******************************
ฉันทลักษณ์
อุปชาติฉันท์๑๑
“อุปชาติฉันท์” เป็นชื่อที่เรียกตามแบบไทย แต่ในคัมภีร์วุตโตทัย
ท่านเรียกว่า “อุปชาติคาถา” มีสูตรว่า
อนนฺตโรทีริตลกฺขณา
เจ
ปาทา วิมิสฺสา
อุปชาติโย ตา
เอวํ กิรญฺญาสุปิ มิสฺสิตาสุ
วทนฺติ ชาติสฺวิทเมว นามํ.
ความว่า “หากบาทคาถามีลักษณะดังกล่าวแล้ว ต่อเนื่องกันคือเป็นบาทที่ผสมกันในคาถาใด
คาถานั้นชื่อว่า“อุปชาติคาถา” โดยหลักเกณฑ์ฉันท์นี้เป็นคาถาผสม
ระหว่างอุเปนทรวิเชียรคาถากับอินทรวิเชียรคาถา โดยกำหนดบทหนึ่งมี ๔ บาท ๆ ละ ๑๑ คำ
บาทแรกเป็นอุเปนทรวิเชียรคาถา บาทที่สองเป็นอินทรวิเชียรคาถา ต้องรวม ๒ บท
จึงเป็นองค์ประกอบสมบูรณ์ของคาถานี้
ในการบัญญัติอุปชาติฉันท์ไทยนั้น
โดยนำเอาหลักเกณฑ์ของอุปชาติคาถามาเป็นหลัก ปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
โดยกำหนดบทหนึ่งมี ๒ บาท ๆ ละ ๒ วรรค บาทหนึ่งมี ๑๑ คำ รวมบทหนึ่งมี ๒๔ คำ
ต้องรวม ๒ บท คือ ๔๘ คำ จึงเป็นองค์ประกอบสมบูรณ์ โดยบาทแรกขึ้นด้วยอุเปนทรวิเชียร
บาทที่ ๒ เป็นอินทรวิเชียร บาทที่ ๓ เป็นอินทรวิเชียร บาทที่ ๔ เป็นอุเปนทรวิเชียร
บทต่อไปก็สลับกันอย่างนี้ จะแต่งต่อเท่าใดก็ได้แต่ต้องให้สลับกันไปอย่างนี้
บทประพันธ์
บรมกษัตริย์ปรา
รภการปราบปราม
กับวัสสการพราหมณ์
พฤฒิเอกอาจารย์
ปรึกษาอุบายดำ
ริกระทำไฉนการ
จะสมนิยมภาร
ธุระปรารถนาเรา
ถอดความได้ว่า
พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงปรึกษาหารือกับวัสสการพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ หารือถึงกลอุบายว่าจะทำประการใดดีจึงจะทำให้ความปรารถนานั้นสัมฤทธิ์ผล
โวหารภาพพจน์ :
บรรยายโวหาร
******************************
สมัครสมานมิตร
คณะลิจฉวีเขา
มั่นคงจะคิดเอา
ชนะด้วยประการไร
ท่านวัสสการผู้
ทิชครูฉลาดใน
อุบายคะนึงไป
ก็ประจักษ์กระจ่างจินต์
ถอดความได้ว่า
ความสมัครสมานสามัคคีของกษัตริย์ลิจฉวีนั้นมั่นคงยิ่งนัก จะเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร วัสสการพราหมณ์เป็นครูที่ฉลาดหลักแหลม เมื่อใคร่ครวญไปก็คิดอุบายได้อย่างแจ่มแจ้ง
โวหารภาพพจน์ :
บรรยายโวหาร
******************************
เสนอสนองมูล
กลทูลณวาทิน
แต่องคภูมินทร์
ธอชาตศัตรู
ตกลงและทรงนัด
แนะกะวัสสการครู
ตริเพื่อเผด็จมู
ลสมัครไมตรีฯ
ถอดความได้ว่า
จึงกราบทูลเสนอพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งก็ทรงเห็นชอบและนัดแนะกับวัสสการพราหมณ์ในการทำลายล้างความสามัคคี
โวหารภาพพจน์ :
บรรยายโวหาร
ฯลฯ
******************************